loading...
จากกรณีนายเสถียร วิพรมหา นายกสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ) พร้อมเครือข่ายชาวพุทธอีก 5 องค์กร ได้แก่ สมาคมทางสายกลาง (ทสก) เปรียญธรรมสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (ปธส) องค์กรเครือข่ายภาคประชาชนพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ (อพช) เครือข่ายสตรีพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย (คสพท) และศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย (ศพศ) เข้ายื่นหนังสือต่อนายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เพื่อขอให้ทบทวนการฉายภาพยนตร์เรื่อง “อาบัติ” โดยทางภาคีเครือข่ายฯเห็นร่วมกันว่าภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวมีความไม่เหมาะสมดังนี้ 1.ด้านเนื้อหา เป็นการดูหมิ่นไม่เคารพต่อพระพุทธศาสนา 2.ด้านคุณค่า ไม่ก่อให้เกิดคุณค่าใดๆต่อสังคมไทยนอจากความขัดแย้ง 3.ด้านศรัทธา ผู้สร้างมีเจตนาทำลายศรัทธาประชาชนต่อพระพุทธศาสนาใช่หรือไม่และ 4.ด้านจิตสำนึก เป็นการสร้างภาพยนตร์ ที่ล่วงเกินพุทธศาสนาอย่างชัดเจน ตามที่เสนอข่าวแล้วนั้น
เมื่อวันที่ 12 ต.ค. ที่สำนักพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) นายขจรศักดิ์ พุทธานุภาพ ประธานคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ กล่าวภายหลังร่วมพิจารณาภาพยนตร์ เรื่อง อาบัติ ร่วมกับคณะกรรมการ 6 ราย อาทิ นายสุรสรร พิทักษ์เสรี ผู้แทนสมาพันธ์ นายปรัชญา ปิ่นแก้ว ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องอาบัติ นายประดิษฐ์ โปซิว
ผอ.พิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ว่า จากการตรวจเนื้อหาภาพยนตร์ มีความต่อเนื่องในการแสดงถึงพฤติกรรมทางลบของพระสงฆ์ ทั้งในด้านชู้สาว ในด้านการฆาตรกรรม ด้านการไม่เคารพต่อพระพุทธรูป ลักษณะจับเศียรพระ ฉากของการที่พระสูบบุหรี่ ฉากที่พระจะเสพกัญชา ฉากการดื่มสุรา มีฉากของการให้นิยามความคิดในเรื่องความรักกับพระไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งใด สิ่งเหล่านี้
ตนเห็นว่ามีลักษณะของการประจานความผิดของบุคคลอื่น ดูแคลนกดผู้อื่นให้ต่ำลง เป็นการขาดความคาระวะต่อพระสงฆ์ อันเป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา ผู้สร้างภาพยนตร์จะต้องคำนึงถึงกาลเทศะ ความเหมาะสม และบริบทของสังคมไทยด้วย เพราะการนำพฤติกรรมทางลบมาเผยแพร่สู่สาธารณชนนั้น ย่อมกระทบต่อการศรัทธาต่อพระสงฆ์ และในณะเดียวกันพุทธศาสนิกชนที่ศรัทธา ด้วยใจ ก็จะกระทบกับความรู้สึกและถูกลดทอนคุณค่าด้วยเช่นกัน ทางคณะกรรมการ จึงมีความเห็นว่าเนื้อหาภาพยนตร์มีสาระสำคัญของเรื่องที่นำความเสื่อมเสียมาสู่ศาสนาพุทธ เป็นภาพยนตร์ห้ามเผยแพร่ในราชอาณาจักรตามพระราชบัญญัติาพยนตร์ มาตรา 29 และกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของประเภทภาพยนตร์ ปี 2552
“สำหรับการชมภาพยนตร์และเกิดปัญญานั้น ผมมองว่าหากภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวถูกฉายออกไป จะมีผู้ชมที่มองทั้ง 2 ด้าน คือ ผู้ชมที่เกิดปัญญาและผู้ชมที่เกิดการติเตียนพระสงฆ์ หรือการเกลียดพระสงฆ์ขึ้นได้ การเสนอภาพยนตร์ในมุมมองศาสนา บางครั้งอาจเป็นประเด็นลุกลามจนนำไปสู่ความไม่สงบในสังคมได้ ซึ่งเราก็เห็นในหลายๆประเทศ ดังนั้น การตั้งประเด็นในลักษณะพฤติกรรมเชิงลบไม่ได้เกิดการสร้างสรรค์ แต่กลับทำให้ไม่ได้เกิดการพัฒนาหรือจรรโลงต่อพระพุทธศานา จึงควรคำนึงถึงภาพการปฏิบัติของพระสงฆ์ที่ดีงามซึ่งมีมากกว่าและควรคำนึงถึงพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีด้วย เพราะการสร้างสรรค์ควรจะเกิดจากพลังเชิงบวก ทั้งนี้ ภาพยนตร์หลายเรื่องที่เสนอประเด็นเหล่านี้เพราะจะทำให้เกิดการกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมและทำให้คนสนใจยิ่งขึ้น ซึ่งการสะท้อนมุมมองของศาสนาทางผู้นำเสนอย่อมมีสิทธิ์ที่จะทำ แต่การนำพฤติกรรมทางลบมาเผยแยพร่สู่สาธาณชน เป็นการประจานเสียมากกว่า” นายขจรศักดิ์ กล่าว
นายขจรศักดิ์ กล่าวอีกว่า สำหรับการที่พระมหาวีรพล วีรญาโณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดยานนาวา เข้าร่วมตรวจภาพยนตร์ในครั้งนี้ ไม่ได้มีผลต่อผลคะแนนโหวต และในที่ประชุมได้รับฟังความคิดเห็นของคณะกรรมการทุกท่าน รวมถึงผู้ที่เห็นต่างก็ได้มีการเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็นด้วยเช่นกัน
ด้าน นายประดิษฐ์ กล่าวว่า การพิจารณาภาพยนตร์ครั้งนี้ ทางคณะกรรมการยึดข้อกฎหมายเป็นหลัก ซึ่งภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว มีการเล่าเรื่องที่ทำให้เกิดมุมมองที่ผิดต่อศาสนา ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธอยู่แล้ว และหากมีการฉายออกไปนั้น จะก่อให้เกิดความขัดแย้งในสังคมสูง ซึ่งจะกระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว สามารถนำกลับไปแก้ไข โดยตัดบางส่วนบางตอนออก พร้อมทั้งเสนอแง่คิดมุมมองตอนจบ ด้วยการสื่อให้เห็นว่า ความจริงแล้วหลักพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร เพราะภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว เสนอในมุมมองของคนที่มองศาสนา โดยที่ไม่ได้เข้าใจในหลักศาสนาอย่างแท้จริง หรือการแก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าว คือยื่นอุทธรณ์ ต่อคณะกรรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาใหม่ ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่รับทราบคำสั่งไม่อนุญาต ซึ่งการแก้ไขดังกล่าวขึ้นอยู่กับผู้กำกับภาพยนตร์จะดำเนินการด้วยวิธีการใด
ขณะที่นายปรัชญา กล่าวว่า ตนจะปรึกษาพระมหาวีรพล วีรญาโณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดยานนาวา เพื่อขอแนวความคิดมาเป็นการประกอบการแก้ไขภาพยนตร์ ซึ่งกำลังพิจารณาว่าจะแก้ไขหรือยื่นอุทธรณ์ แต่จะต้องหาวิธีที่ดีที่สุดและต้องรีบดำเนินการ โดยหากแก้ไข ก็คงต้องตัดบางฉากหรืออธิบายเนื้อหาบางอย่างให้ชัดเจนขึ้น หรืออาจใส่เนื้อหาบทสรุปสุดท้ายเข้าไปด้วย อย่างกรณีภาพยนตร์เรื่องนากปรก มีการอธิบายขึ้นตัวหนังสือตอนจบ ถึงชะตากรรมของคนทำไม่ดี ว่าสุดท้ายก็ได้ผลกรรมตอบแทนกลับไป หากการผลิตภาพยนตร์แล้วจะต้องเสนอแต่มุมมองพระแค่ในแง่บวกนั้น ตนไม่เห็นด้วย 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะภาพยนตร์จะมีบริบทของตัวเอง และตนมองว่าทุกวงการสามารถมีทั้งคนดีและคนไม่ดีอยู่ในสังคม ซึ่งภาพยนตร์เรื่องอาบัติ ได้เสนอมุมของคนเลวที่สุดท้ายได้รับผลกรรมกลับไป และภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ไม่ได้มีเนื้อหาส่วนใดที่โจมตีศาสนา เพียงแต่นำเสนอพระสงฆ์ที่ประพฤติไม่ดีและก็ได้รับผลกรรมเช่นกัน
นายสมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ในฐานะผู้แทนจากพศ.ได้รับเชิญจากคณะกรรมการพิจารณาภาพยนต์และวีดิทัศน์ วธ. ให้เข้าร่วมชี้แจงในแง่มุมด้านศาสนาในการพิจารณาภาพยนตร์เรื่องอาบัติ ภายหลังได้ชมภาพยนตร์ทั้งเรื่องแล้ว หนังเรื่องนี้แสดงออกถึงภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อศาสนาพุทธ หากมีการเผยแพร่ออกไปประชาชนต้องเข้าใจในวัตรของพระสงฆ์ที่ผิด กรรมการทั้ง 6 ท่าน จึงไม่เห็นควรให้มีการเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ถึง 4 ท่าน และเป็นที่เข้าใจว่าภาพยนตร์เรื่องอาบัติถูกระงับในการเข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 15 ต.ค.
ทั้งนี้ยังมีหลายฉากที่ดูแล้วล่อแหลม เช่น เณรโอบเอวสีกาเข้ากุฏิ เณรจูบปากสีกา เป็นต้น และบทพูดของสีกาบางตอนที่แสดงออกถึงความไม่เกรงกลัวต่อบาป เช่น ความรักไม่จำเป็นว่าต้องเป็นพระสงฆ์หรือฆราวาส เป็นต้น มีอีกหลายๆ ฉากที่ผู้เป็นพระสงฆ์แสดงออกถึงความไม่เคารพต่อศาสนา เช่น เณรเดินใส่รองเท้าขึ้นอาสนะสงฆ์ เณรหิ้วเศียรพระพุทธรูปวางลงบนพื้น เป็นต้น ดังนั้น ตนจึงไม่เห็นด้วย หากภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับอนุญาตให้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ เพราะหากมีการเผยแพร่ออกไป ชาวพุทธอาจรับไม่ได้และทำให้เกิดความวุ่นวายในสังคมตามมา